ทะเลสาบโทบา

หนีเมืองมาเจอ Toba Lake เที่ยวธรรมชาติแบบไม่ได้ตั้งใจ แต่ใจมันรักเลย

บางทริปมันก็เริ่มขึ้นง่ายๆ แบบนั้นแหละ… ไม่มีแพลน ไม่มีเป้าหมาย มีแค่ “ตั๋วโปรราคาดี”

ผมไปเมดาน อินโดนีเซีย คือไม่ได้รู้ด้วยซ้ำว่าเมืองนี้อยู่ตรงไหนของประเทศเขา เอาแค่ว่า… จองก่อน แล้วค่อยคิดที่เหลือทีหลัง

พอเครื่องแตะพื้นเมดานก็เริ่มงงๆ หน่อย เมืองนี้ไม่ได้มีอะไรหวือหวาให้เที่ยวเท่าไหร่ ถ้าจะพูดตรงๆ ก็อาจเรียกได้ว่าเป็น “เมืองผ่าน” ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่คือหนึ่งในแลนด์มาร์กระดับตำนานของอินโดนีเซีย — ทะเลสาบโทบา (Toba Lake)

เริ่มหาข้อมูลจากคนท้องถิ่น ถามหารถไปทะเลสาบ สุดท้ายก็เจอ! เป็นรถตู้แชร์กันกับผู้โดยสารคนอื่นๆ ต้องรอให้ครบจำนวนก่อนรถถึงจะออก แน่นอนว่า… มีผู้ร่วมทางหลายคน และบรรยากาศในรถก็คือมีแต่ ฝรั่งหัวทอง กันแทบทั้งคัน จะหาคนเอเชียนั่งมาด้วยยังยากเลย เที่ยวสายลุยแบบนี้ คนเอเชียอาจจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่สำหรับผม… ยิ่งทำให้อยากลองเข้าไปสัมผัสมากขึ้น

รถตู้พาผมออกจากเมือง วิ่งผ่านถนนคดเคี้ยว วิวเริ่มเปลี่ยนจากตึกบ้านเรือนสู่ป่าเขา
จนกระทั่งน้ำสีฟ้าอมเขียวโผล่มาไกลๆ นั่นแหละ… Toba Lake

ไม่ใช่แค่ทะเลสาบ แต่มันเป็นโลกอีกใบ

ทะเลสาบแห่งนี้เกิดจากปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก และที่สำคัญ… มันยังรักษาความเป็นธรรมชาติไว้ได้แบบไม่ต้องเติมแต่ง พอไปถึงจริงๆ คำแรกที่หลุดจากปากคือ “โอ้ววววว โห…” มันกว้าง ใหญ่ เงียบ และสงบ เหมือนโดนดูดเข้าไปในอีกโลก
โลกที่ไม่มีเสียงแจ้งเตือน ไม่มีใครไล่ตาม (จะตามก็ยากหน่อย เพราะสัญญาณเน็ตที่นี่ก็อับใช้ได้)

ทะเลสาบที่ไม่ได้เกิดจากน้ำฝน… แต่จากการระเบิดระดับล้างโลก

Toba Lake ไม่ใช่แค่ทะเลสาบธรรมดา แต่มันคือทะเลสาบที่ เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟซูเปอร์วอลเคโน (Supervolcano) เมื่อประมาณ 74,000 ปีก่อน ซึ่งการระเบิดครั้งนั้นรุนแรงระดับที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ส่งผลกระทบกับสภาพภูมิอากาศทั้งโลก และอาจลดจำนวนประชากรมนุษย์ในยุคนั้นลงไปอย่างมหาศาล

พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าตอนนั้นโลกมี Instagram มนุษย์อาจจะโพสต์ “Goodbye world” กันเป็นแถวเลยก็ว่าได้

ผลจากการปะทุคือการยุบตัวของภูเขาไฟจนเกิดเป็น “แอ่ง” ขนาดมหึมา และเมื่อเวลาผ่านไป น้ำฝนและธารน้ำธรรมชาติก็เติมเต็มช่องว่างนั้นจนกลายเป็นทะเลสาบโทบาในปัจจุบัน ซึ่งถือว่าเป็นทะเลสาบปล่องภูเขาไฟ (caldera lake) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ปัจจุบัน: เงียบ สงบ สวย และยังไม่โดนคลื่นนักท่องเที่ยวถล่ม

ทะเลสาบโทบายังคงรักษาความดิบและความสงบไว้ได้อย่างน่าทึ่ง ไม่มีรีสอร์ตหรูหรามากนัก ไม่มีป้ายโฆษณาแบบไปทางไหนก็เจอ ไม่มีเสียงแตรรถ มีแค่ชาวบ้าน กลิ่นดิน กลิ่นใบไม้ และวิวที่อลังการแบบธรรมชาติ 100%

เดินเล่นตามริมฝั่งเรื่อยๆ จะเห็นชาวบ้านซักผ้า ขนน้ำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ชีวิตแบบง่ายๆ ที่ดิบและจริง ไม่มีฟิลเตอร์

ที่นี่คือถิ่นของชาวบาตัก (Batak) ซึ่งยังคงวัฒนธรรมของตัวเองไว้อย่างเหนียวแน่น มีเสียงดนตรีพื้นเมือง มีรอยยิ้มแบบที่เราไม่ได้เห็นจากเมืองใหญ่ๆ มานาน การมาเยือนที่นี่ ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นแค่นักท่องเที่ยว แต่มากกว่านั้นคือความรู้สึกว่าเราเป็น “แขก” ของชุมชนจริงๆ

ธรรมชาติที่ไม่ได้จัดฉาก

สิ่งที่ผมประทับใจที่สุดคือความ “ดิบ” ของที่นี่ ไม่มีคาเฟ่กรุ๊งกริ๊ง ไม่มีจุดถ่ายรูปเว่อวัง ไม่มีใครมาเซ็ตฉากให้คุณถ่ายตาม มีแค่ทะเลสาบทอดยาวสุดสายตา เสียงลมเบาๆ คลื่นกระทบฝั่ง และช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตัวเองแบบไม่ต้องรีบไปไหน


ถ้าใครยังไม่จุใจ แนะนำให้ลอง เช่ารถมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์ขับเอง ขับไปอีกนิด จะมีแหล่งน้ำพุร้อนที่ยังเห็นพลังงานจากใต้พิภพเดือดปุดๆ อยู่เลย กลิ่นกำมะถันลอยมาแต่ไกล แต่แนะนำว่า ควรพกหน้ากาก หรือผ้าปิดจมูกไปด้วย เพราะกลิ่นมันแรงมากกกก (จากประสบการณ์ตรง สูดเข้าไปเต็มปอดแบบไม่ทันตั้งตัวก็แทบจะสำลักธรรมชาติเลยทีเดียว)

พอถึงเวลากลับ ผมนั่งเรือข้ามฟากกลับฝั่งอย่างเงียบๆ ใจยังไม่อยากกลับเลย เหมือนโดนทะเลสาบนี้สะกดเอาไว้แล้วจริงๆ

ถ้าคุณกำลังมองหาทริปที่ไม่ต้องวางแผนเยอะ ไม่ต้องเป๊ะ แต่อาจได้ความรู้สึกกลับมาเต็มหัวใจ ลองหลับหูหลับตาจองตั๋วไปเมดานดูครับ แล้วปล่อยให้ธรรมชาติพาไป บางทีนะ… ทริปที่ดีที่สุด อาจเริ่มจากคำว่า “ไม่รู้จะไปไหนดี” ก็ได้

About The Author


Discover more from journan journey

Subscribe to get the latest posts sent to your email.

JourNan JourNey

Adventure Awaits – From Journeys to Investments!

Categories